เจาะลึกสาเหตุที่ Palmer Luckey ผู้ก่อตั้ง Oculus ลาออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือ

Palmer Luckey ทำไมถึงได้ทิ้ง Oculus ไปง่ายๆ

เป็นข่าวใหญ่ในวงการ Virtual Reality ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากับการประกาศลาออกของผู้ก่อตั้ง Oculus นาย Palmer Luckey ที่ยอมทิ้งสิ่งที่ตัวเองปลุกปั้นมาตั้งแต่แรก จนเกิดเป็นข่าวที่สร้างความงุนงงขนาดนี้ วันนี้ทีมงานจะมาเจาะลึกกันว่าปัญหาที่ทำให้ Palmer Luckey ยอมทิ้งลูกรักตัวเองไว้ข้างหลังและไม่ทำงานร่วมกับทาง Facebook ต่อไปอีกแล้วมันเกิดจากอะไร

oculus-rift-dk2-vs-dk1-gdc-2014
แว่น Oculus DK 1 และ DK 2

จะขอเกริ่นก่อนว่า Palmer Luckey เริ่มต้นโปรเจค Oculus ตั้งแต่ปี 2012 โดยเริ่มระดมทุนกันก่อนใน Kickstarter จนกระทั่งออกมาเป็นแว่นต้นแบบรุ่น DK1 ในเดือนมีนาคมปี 2013 และ DK ในเดือนกรกฏาคมปี 2014 และในวันที่ 28 มีนาคม Oculus Rift แว่น VR ฉบับเต็มใช้งานได้เต็มรูปแบบตัวแรกของบริษัทก็ออกมาให้ได้ซื้อไปใช้งานกัน นอกจากนั้นทาง Oculus ก็ยังมีส่วนในการพัฒนา Gear VR สำหรับมือถือของ Samsung อีกด้วย

mark-zuckerberg
Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook

ช่วงเดือนมีนาคม 2014 นั้น Mark Zuckerburg เจ้าของ Facebook ได้ทำการ Take Over Oculus ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 3 พันล้าน USD และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Palmer Luckey เริ่มมีปัญหากับทางต้นสังกัดใหม่อย่าง Facebook และบ้างก็ว่าจริงๆแล้วเกิดจากการที่ Palmer Luckey ตั้งตัวแทนขึ้นมาบริหารงานแทน ซึ่งตัวแทนทั้ง 2 คนของ Palmer Luckey คือ Brendan Iribe เป็น CEO และให้ John Carmack เป็น CTO แทน ด้วยการบริหารงานที่อาจจะไม่ตรงใจของ Palmer เองก็อาจจะทำให้ภายในเกิดปัญหากันจนเป็นปัญหาใหญ่ รวมไปถึงการที่เวลา Oculus มีผลงานอะไรก็ตามแต่มักจะไม่เห็นเขาออกงาน ด้วยวัยและประสบการณ์ทำให้เกิดการตัดสินใจง่ายๆแบบนี้ออกมานั่นแหละครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อยเลย

ross-palmer-rift-alaske-featured
ถ่ายภาพกับผู้ที่ซื้อ Oculus Rift เป็นคนแรกของโลกพร้อมกับลายเซ็นต์

เป็นบุคคลที่มีความสามารถและยังมีอายุน้อยอยู่เลยสำหรับ Palmer Luckey ด้วยวัยเพียง 17 ปีก็สามารถสร้างอุปกรณ์ที่ทำให้มนุษย์เดินทางเข้าสู่โลกเสมือนจริงกันได้แล้ว ถือว่าเป็นเด็กที่อนาคตสดใสไม่น้อย ต้องรอดูกันไปครับไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีนวัตกรรมอะไรเจ๋งๆออกมาเปลี่ยนโลกอีกก็ได้ เพราะอายุเพียงแค่ 24 – 25 ปียังมีความคิดขนาดนี้ อนาคตเขาอาจจะเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกเหมือนกับ Bill Gates และ Warren Edward Buffett ก็เป็นไปได้ทั้งนั้นครับ ถือว่าเป็นอีก 1 บุคคลที่เด็กไทยควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างในการเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองให้ประสบความสำเร็จนะครับ